วิธีเลือกซื้อแอร์ … ยี่ห้อไหนทนทาน มาดูวิธีเลือกซื้อกัน

วิธีเลือกซื้อแอร์

ปฏิเสธไม่ได้จริงที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนมาก จนต้องใช้งานเครื่องปรับอากาศ หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า “เปิดแอร์” การเลือกซื้อแอร์บางครั้งก็เลือกที่ยี่ห้อ และรีวิวในเรื่องของความคงทนในการใช้งานเครื่องปรับอากาศ พร้อมบริการหลังการขาย การบริการตรวจเช็คสภาพเครื่องที่ดี ซึ่งการเลือกแอร์สักเครื่อง บางครั้งยี่ห้อมันก็เป็นหัวใจสำคัญกว่าที่คิด

อยากได้แอร์สักเครื่อง…ยี่ห้อไหนถึงทนทาน

1. SHARP :เป็นยี่ห้อเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติญี่ปุ่นที่การันตีเรื่องคุณภาพ แม้แต่เครื่องปรับอากาศที่คนไทยบอกกันต่อๆ กันว่า มีความคงทน แข็งแรง ยืดอายุการใช้งานยาวนาน หากใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้ตามร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ การบริการหลังการขายดีมาก

2. HAIER :ใครๆ มักจะคิดว่าเป็นยี่ห้อเครื่องปรับอากาศจากฝั่งยุโรป แต่จริงๆ แล้วเป็นเครื่องปรับอากาศจากประเทศจีน ซึ่งตีตลาดในประเทศไทยมายาวนาน มีการทำสื่อการตลาดมาต่อเนื่อง ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่ราคาย่อมเยา สามารถสั่งซื้อได้ตามร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ

3. SAMSUNG :จะเห็นได้ว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาหลายประเภทอย่างมาก และเครื่องปรับอากาศใน SAMSUNG เป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานทนทาน ทำยอดขายดีเยี่ยมมายาวนานหลายทศวรรษ มีการตลาดจากคนดังในเกาหลีเป็น Brand Ambrassadorเยอะมาก

4. PANASONIC :อีกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตีตลาดในประเทศไทยสัญชาติญี่ปุ่น เป็นเครื่องปรับอากาศที่มีความทนทาน ประหยัดไฟอย่างมาก หากใครได้ใช้งานจริงจะไม่มีคำว่าผิดหวังเลย เพราะ PANASONIC เขาใส่ใจบริการหลังการขาย และดูแลลูกค้าดีเยี่ยมมากอีกบริษัทหนึ่งเลยล่ะ

5. SAIJO DENKI :หลายคนเข้าใจว่าเป็นบริษัทญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วเป็นบริษัทของคนไทยที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน แม้จะผลิตในประเทศไทย แต่นวัตกรรมเกรดญี่ปุ่นเลยทีเดียว ซึ่งถ้าใครสนใจซื้อ สามารถหาซื้อได้ง่าย และเครื่องปรับอากาศยี่ห้อนี้ให้ความเย็นดีไม่ต่างจากของต่างประเทศเลย

6. CARRIER :เป็นเครื่องปรับอากาศสัญชาติอเมริกัน ซึ่งตีตลาดในประเทศไทยมานานพอสมควร และฐานลูกค้าแน่นมาก การบริการหลังการขายทำได้ดีมาก นอกจากนี้เป็นเครื่องปรับอากาศนำเข้า แต่ขายในประเทศไทยราคาไม่แพงอย่างที่คิดอีกด้วย

แนวทางในการเลือกซื้อ “แอร์” จะซื้อยังไง

นอกจากยี่ห้อเป็นตัวช่วยการตัดสินใจแล้ว การเลือกซื้อสำคัญ โดยทุกเครื่องจะต้องมีประหยัดไฟเบอร์ 5 เสมอ ซึ่งจะต้องวัดพื้นที่ที่จะติดตั้งเครื่องปรับอากาศเสียก่อนว่ามีเนื้อที่เท่าไหร่ ทั้งเนื้อที่ในห้องภายในบ้าน ภายในสำนักงาน ภายในร้านค้า เพราะจะส่งผลต่อการใช้ค่า BTU ที่เหมาะสมเข้ามาด้วย จะช่วยให้การกระจายความเย็นที่ดีกว่า จะต้องมีเนื้อที่ที่เหมาะสมเพื่อค่า BTU ที่ตอบโจทย์ อาจจะ 12,000 BTU หรือ 18,000 BTU แล้วแต่การวางแผนการใช้งาน เพื่อการใช้งานที่คุ้มค่าและประหยัดการใช้ไฟฟ้าที่เหมาะสมอยู่เสมอ